Wednesday, 29 March 2023

เส้นทางประท้วงใหญ่ในจีน ความไม่พอใจที่ลุกลามเป็นการขับไล่ “สี จิ้นผิง”

ประท้วงในจีน นโยบายปราศจากโควิดเป็นเหตุ ไล่เรียงที่มาการประท้วงในจีน ที่มีเป้าหมายเพื่อขับไล่ “สี จิ้นผิง”

“ประเทศจีน” กับ “การประท้วง” ดูเหมือนจะเป็น 2 คำที่ไม่น่าจะอยู่ด้วยกันได้ ด้วยลักษณะการปกครองของจีนที่ออกจะเคร่งครัดให้ประชาชนอยู่ใต้กฎข้อบังคับ จนประชาชนไม่กล้าหือกับทางการ

อย่างไรก็แล้วแต่ ในช่วงสุดสัปดาห์ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา ทั่วโลกได้เห็นในสิ่งที่พวกเขาไม่คิดว่าจะได้เห็น นั่นคือการประท้วงในหลายพื้นที่ทั่วทั้งประเทศจีน และก็ร้ายแรงถึงขนาดมีการเรียกร้องให้ผู้นำจีน สี จิ้นผิง ออกจากตำแหน่ง ซึ่งเกิดเรื่องที่เขาไม่เคยพบมาก่อนตลอดระยะเวลาที่ดูแลประเทศ 10 ปี

หลายคนอาจสงสัยว่า เรื่องราวในประเทศจีนดำเนินมาถึงจุดนี้ได้ยังไง นิวมีเดีย พีพีทีวี ได้ไล่ลำดับเรื่องสำคัญที่เอามาสู่การประท้วงใหญ่ครั้งนี้

เรื่องราวทั้งหมดจะต้องย้อนไปตั้งแต่ปี 2019 ซึ่งเจอการระบาดของ “ไวรัสโรคปอดปริศนา” ในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ เป็นที่แรกในโลก และก็เมื่อองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้มันเป็นโรคระบาดใหญ่ (Pandemic) ด้วยชื่อสากลว่า “โควิด-19” ทางการจีนก็ตกลงใจที่จะใช้มาตรการ “ล็อกดาวน์ (Lockdown)” เมืองอู่ฮั่นเป็นที่แรก

ประท้วงในจีน โควิด ล็อกดาวน์

ประท้วงในจีน มาตรการล็อกดาวน์คือการสั่งปิดเมือง

ห้ามคนเข้าออก และก็ห้ามไม่ให้ประชาชนออกจากบ้านโดยไม่จำเป็น กระนั้นโควิด-19 ก็ยังคงเล็ดรอดและก็แพร่ระบาดในหลายพื้นที่ของจีนอยู่ดี อย่างเช่น เมืองปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ซินเจียง เป็นต้น

ทางการจีนก็เลยประกาศนโยบาย “Zero COVID” หรือโควิดเป็นศูนย์ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อควบคุมและก็ลดการระบาดของโควิด-19 ในระดับที่จะต้องไม่เจอผู้ติดโรคในประเทศเลย ผ่านมาตรการล็อกดาวน์และก็กฎข้อบังคับที่เคร่งครัดต่างๆ

อย่างไรก็แล้วแต่ การล็อกดาวน์ที่นานเกินไปเริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตของคนเรา รวมถึงต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ความไม่พอใจเริ่มก่อตัว ซึ่งประชาชนก็เลือกที่จะระบายความไม่พอใจผ่านสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์คภายในประเทศ อย่างเช่น เวยปั๋ว

แต่กลับเปลี่ยนเป็นว่า ข้อมูลหรือรายละเอียดที่เกี่ยวกับความไม่พอใจที่ประชาชนมีต่อนโยบายโควิดเป็นศูนย์ หรือการบอกเล่าเรื่องราวและก็ผลกระทบด้านลบของการล็อกดาวน์ อย่างเช่น การขาดแคลนอาหาร การไม่อาจจะปฏิบัติงานได้ กลับถูก “เซ็นเซอร์” และก็ถูกลบออกจากโซเชียลเน็ตเวิร์คทั้งหมด

ความไม่พอใจเริ่มร้ายแรงขึ้น เมื่อโรงหมอชั่วคราวหรือสถานที่กักกันผู้ติดโรคเล็กน้อยมีภาวะที่ทรุดโทรม และก็เกิดการบังคับกักบริเวณอย่างไม่ถูกกฎหมายด้วยการใช้ความร้ายแรง

จนถึงในเดือน เดือนพฤศจิกายน 2021 โลกเจอการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน (Omicron) และก็เปลี่ยนภัยคุกคามใหม่ต่อนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของจีน เมื่อมันสามารถหลุดรอดเข้ามาได้ในช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2021 และก็แพร่ขยายเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเซี่ยงไฮ้

ประชาชนจีนคิดว่า การหลุดรอดเข้ามาของโอมิครอนเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า นโยบาย Zero COVID และก็มาตรการล็อกดาวน์เป็นสิ่งที่ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่มีประโยชน์ และก็มีแต่ว่าจะสร้างผลกระทบในทางร้ายต่อเศรษฐกิจจีนและก็ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ทำให้ความเชื่อมั่นและมั่นใจในทางการจีนของประชาชนลดน้อยลงไปเรื่อยๆ

นอกจากนั้น เซี่ยงไฮ้ถูกล็อกดาวน์ภายใต้มาตรการที่เคร่งครัด ทำให้ประชาชนขาดแคลนอาหารและก็ยา ในเวลาที่กฎสำคัญของการล็อกดาวน์เซี่ยงไฮ้อย่าง “การแยกคนที่ติดโรคออกจากคนที่ไม่ติดโรค” ก็ทำให้มีการพรากลูกไปจากบิดามารดาโดยไม่ยินยอม ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการฆ่าหมาทิ้ง ถ้าเกิดเจ้าของติดโควิด-19 ซึ่งจีนอ้างถึงว่าเพื่อคุ้มครองการแพร่ระบาด ทั้งๆที่ไม่มีหลักฐานเด่นชัดว่า หมาสามารถแพร่โควิด-19 มาสู่คนได้หรือไม่

หรือเมื่อครั้งเกิดเหตุแผ่นดินไหวมณฑลเสฉวนช่วงต้นเดือน กันยายน ประชาชนก็วิพากษ์วิจารณ์ทางการจีน ด้วยเหตุว่ามีการสั่งห้ามไม่ให้ประชาชนย้ายถิ่นหรือหนีออกจากตึก ด้วยเหตุว่ายังมีการ “ล็อกดาวน์” คุ้มครองโควิด-19 อยู่

เรื่องเหล่านี้ทำให้ความไม่พอใจของประชาชนถูกสุมไปเรื่อยและก็เกิดการปะทุระลอกเล็กในช่วงสิ้นเดือน ตุลาคม ที่มีการประท้วงในช่วงที่มีการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งนับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ในช่วงเวลาเดียวกัน ยังเจอผู้ติดโรคในโรงงานของ ฟ็อกซ์คอนน์ (Foxconn) ฐานผลิตไอโฟนรายใหญ่ในเมืองเจิ้งโจว จนจะต้องล็อกดาวน์บุคลากรกว่า 200,000 คนเอาไว้ภายในเขตโรงงาน แต่ว่าในวันที่มีการประกาศล็อกดาวน์ ปรากฏภาพแรงงานจำนวนหลายชิ้น “แห่หนีตาย” ออกจากโรงงาน ด้วยเหตุว่าไม่อยากถูกกักบริเวณ

ประท้วงในจีน Zero Covid สีจิ้นผิง

การล็อกดาวน์เสมือนจะเรียบร้อยด้วยดี

แต่ว่าบุคลากรหลายร้อยคนกลับออกมาประท้วง ประท้วงในจีน ทำลายข้าวของเครื่องใช้และก็กล้องวงจรปิด เล็กน้อยทะเลาะเบาะแว้งและก็ปะทะกับข้าราชการ จนต้องมีการใช้แก๊สน้ำตา

บุคลากรบอกว่า พวกเขาได้รับการกระทำที่ไม่ดี อาหารที่จัดไว้ไม่เพียงพอเพียง บุคลากรใหม่หลายคนไม่ได้โบนัสพิเศษอย่างที่บริษัทสัญญาไว้ และก็หลายคนเริ่มตื่นตระหนกว่าโควิดจะระบาดลุกลาม

จนถึงในช่วงกลางเดือน เดือนพฤศจิกายน ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา เริ่มมีสัญญาณที่บอกว่าทางการจีนกำลังจะยอมบรรเทามาตรการ ทำให้ชาวจีนพอเพียงจะมีความหวังได้บ้างว่าจะหลุดพ้นจากความเข้มงวดนี้เสียเชิง พร้อมด้วยเริ่มมีการประท้วงอย่างเป็นทางการทีแรกในกว่างโจวเมื่อวันที่ 15 เดือนพฤศจิกายน

แต่ว่าเมื่อเริ่มมีการบรรเทามาตรการเล็กน้อย จีนกลับรายงานเจอผู้ติดโรคทะลุ 30,000 รายตั้งแต่เมื่อวันที่ 23 เดือนพฤศจิกายน มากที่สุดตั้งแต่แมื่อมีการระบาดของโควิด-19 ในจีน จนมีการประกาศเข้มมาตรการอีกครั้ง

จุดเปลี่ยนที่ทำให้ชาวจีนระเบิดความไม่พอใจออกมา คือเหตุอัคคีภัยอะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในเมือง “อูหลู่มู่ฉี” ของเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ซึ่งมีคนตาย 10 ราย

ที่ความไม่พอใจปะทุออกมาก็ต่อเนื่องมาจากนักดับเพลิงไม่อาจจะฉีดน้ำเข้าไปดับไฟในตึกได้ ด้วยเหตุว่ามี “แบร์ริเออร์” กั้นเขตล็อกดาวน์ และก็รถราของผู้อาศัยในอะพาร์ตเมนต์กีดขวางอยู่

ความไม่พอใจทั้งหมดที่ประชาชนชาวจีนสั่งสมมาเกือบ 3 ปีจึงระเบิดออก เปลี่ยนเป็นการประท้วงใหญ่ในหลายเมืองทั่วทั้งประเทศจีน โดยข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้คัดค้านคือ ต้องการให้มีการยกเลิกนโยบายปราศจากโควิด เรียกร้องเสรีภาพสำหรับการแสดงออก เรียกร้องให้ สี จิ้นผิง ลาออก และก็เรียกร้องให้มีการยุบพรรคคอมมิวนิสต์จีน

ยังไม่มีผู้ใดสามารถประเมินได้ว่า ความปั่นป่วนภายในประเทศจีนครั้งนี้จะขยายตัวหรือร้ายแรงขึ้นหรือไม่ แต่ว่านี่นับว่าเป็นบทเรียนสำคัญของจีนเลยว่า การไม่รับฟังเสียงของประชาชนนั้น จะมีผลตามมายังไง จากความไม่พอใจที่เป็นเสมือนเพียงแค่ไฟที่ปลายไม้ขีดไฟเล็กๆกลับลุกลามบานปลายเปลี่ยนเป็นความขุ่นเคืองที่ร้ายแรงระดับกองเพลิงกองย่อมๆ